Home Mind เรียนรู้ลักษณะ 5 ศาสนา เพื่อเข้าใจความเชื่อและพลังศรัทธา

เรียนรู้ลักษณะ 5 ศาสนา เพื่อเข้าใจความเชื่อและพลังศรัทธา

by Lifeelevated Admin1

เราทุกคนอยากดำเนินชีวิตที่ประสบความสำเร็จในระดับใดระดับหนึ่ง ด้วยความรู้สึกที่ว่าวิธีการดำเนินชีวิตของเรานั้นถูกต้อง และถ้ามีคนบอกแก่เราว่า เขาได้พบวิธีการมีชีวิตที่น่าพึงพอใจหรือมีความหมายแล้ว สิ่งที่เราน่าจะทำ อย่างน้อยก็ควรเข้าไปดูว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เขากล่าวนั้นเป็นอย่างไร แล้วศาสนาใหญ่ๆ ของโลกล่ะ กล่าวถึงเรื่องการดำเนินชีวิตไว้ว่าอย่างไรบ้าง? ในศาสนาและความเชื่อเหล่านั้นมีอะไรบ้างไหม ที่ทำให้ชีวิต ของเรามั่นคงและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น?

สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากศาสนาและลัทธิความเชื่อที่สำคัญของโลก นั่นก็คือ ศาสนาฮินดู ลัทธินิวเอจ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลามและคริสตศาสนา ข้อมูลในนี้เป็นการกล่าวถึงอย่างกว้างๆ ของเนื้อหาหรือความเชื่อ คุณลักษณะเฉพาะของศาสนาหรือลัทธิความเชื่อนั้นๆ

*ระบบของศาสนาเหล่านี้มีถูกแบ่งด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน สิ่งที่จะอธิบายในบทความนี้ เน้นไปที่หัวใจของระบบความเชื่อนั้นๆ โดยในที่นี้เลือกเฉพาะศาสนาและลัทธิความเชื่อเหล่านี้เท่านั้น

 

ศาสนาฮินดู

ชาวฮินดูส่วนมากนับถือเทพศูนย์รวมผู้สูงสุดองค์หนึ่ง คือพระพรหม ซึ่งมีหลายพระภาคด้วยกันทั้งในภาคของเทพหรือพระและเทพธิดา หรือเจ้าแม่ การปรากฎองค์ที่แตกต่างกันของพระพรหม โดยผ่าน เทพธิดาและเทพบุตรเหล่านี้ได้จุติมาอยู่ใน รูปเคารพ วัดและวิหาร ผู้นำศาสนา แม่น้ำ สัตว์ต่างๆ เป็นต้น ชาวฮินดูเชื่อว่าสถานะที่พวกเขาเป็นอยู่เดี๋ยวนี้มาจากผลการกระทำ ในชาติก่อนของพวกเขา ถ้าพฤติกรรมของเขาในชาติก่อนชั่วร้ายมากๆ เขาอาจจะต้องประสบกับชีวิตที่ยากลำบากมากในชาตินี้ เป้าประสงค์ของชาวฮินดูคือการได้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม…คือการเป็นอิสระจากวงจรของวัฏสงสาร (การเวียนว่าย ตายเกิด)

มีหนทางที่เป็นไปได้อยู่สามทาง ในการหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม:

1.อุทิศตัวด้วยใจรักต่อเทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดก็ได้ในศาสนาฮินดู

2.เพิ่มพูนขึ้นในความรู้โดยผ่านการบำเพ็ญภาวนาให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับองค์พระพรหม(แปลว่าการเป็นหนึ่งเดียว) เพื่อที่จะระลึกได้ว่า สถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งตัวตนของเรานั้นคือภาพลวงตาและสิ่งเดียวที่แท้จริงก้คือพระพรหมเท่านั้น

  1. ทำตามระเบียบแบบแผนและ ศาสนพิธีต่างๆ อย่างเคร่งครัด

ในศาสนาฮินดู ทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกว่า จะไปให้ถึงความสมบูรณ์แบบทางจิตวิญญาณโดยวิธีใด และยังมีคำอธิบายที่เป็นไปได้เกี่ยวกับความทุกข์ยากและสิ่งชั่วร้ายที่มีอยู่ในโลกนี้อีกด้วย ตามความเชื่อของฮินดู ความทุกข์ที่ทุกคนประสบ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย หรือความอดอยาก หรือภัยพิบัติ เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วกับคนๆนั้นเพราะการกระทำที่ชั่วร้ายของเขาเอง ส่วนใหญ่เป็นมาจากชีวิตในชาติก่อนของเขา จิตวิญญาณเท่านั้นที่มีความสำคัญ ซึ่งในวันหนึ่งจะเป็นอิสระจากวงจรแห่งการเกิดใหม่ และได้พักสงบ

 

นิวเอจ

พวกนิวเอจสนับสนุนความคิดที่ว่าคนเราสามารถที่จะพัฒนาพลัง ในตัวของเราเอง และเป็นพระเจ้าได้ เมื่อพูดถึงพระเจ้า พวกเขา จะไม่พูดถึงพระเจ้าผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง หรือพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่ง ที่เรารู้จักเป็นส่วนตัวได้ แต่จะพูดถึงพระเจ้าในลักษณะที่เป็น จิตสำนึกที่สูงส่งกว่าพวกเขา พวกที่เชื่อในลัทธินิวเอจจะมองตัว ของเขาเองว่าเป็นพระเจ้า เป็นพลังงานในจักรวาล หรือเป็นจักรวาล เลยด้วยซ้ำไป ในความเป็นจริงแล้ว ตามความเชื่อของพวกเขา ทุกอย่างที่คนๆ นั้นเห็น ได้ยิน รู้สึกหรือจินตนาการได้จะถูกเรียกว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (พระเจ้า) ทั้งสิ้น

พวกนิวเอจเลือกที่จะใช้ความหลากหลายในการอธิบายถึงความเชื่อของเขา ซึ่งถูกเรียกว่าการสะสมธรรมเนียมโบราณด้านจิตวิญญาณ พวกเขารับทราบ ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทพธิดาทั้งหลาย เหมือนกับชาวฮินดู โลกนี้ถูกมองว่าเป็นแหล่งของสิ่งที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณทั้งหลาย และมีสติปัญญา อารมณ์ความรู้สึกและความเป็นพระเจ้าอยู่ในตัวของมันเอง แต่สิ่งที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือตนเอง ตนเองคือแหล่งกำเนิด ผู้ควบคุมและ พระเจ้าของทั้งหมด ไม่มีความจริงอื่นใดนอกเหนือจากที่ตนเองกำหนดให้มันมี

ลัทธินิวเอจสอนเนื้อหาที่กว้างขวาง เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับของโลกตะวันออก และจิตวิญญาณ ปรัชญาที่เกี่ยวข้องความจริงในธรรมชาติ เทคนิคเกี่ยวกับเรื่องพลังจิต ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการหายใจ การสวด การรัวกลอง การทำสมาธิ เพื่อที่จะพัฒนาความเปลี่ยนแปลงภาวะจิตและการเป็นพระเจ้าของเขาผู้นั้น

ประสบการณ์ในทางลบที่คนๆ หนึ่งมี (ความล้มเหลว ความเศร้าเสียใจ ความโกรธ ความเห็นแก่ตัวและความเจ็บปวด)นั้น เป็นเพียงภาพลวงตา การเชื่อว่าตัวเขาเองคือ ผู้ที่ควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือชีวิตของตน ไม่มีสิ่ง ที่ไม่ถูกต้องในชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นในทางร้ายหรือเป็นความเจ็บปวดก็ตาม คนๆหนึ่งในเวลาต่อมา สามารถพัฒนาทางจิตวิญญาณจนมาถึงจุดที่ว่า ชีวิตไม่มีจุดประสงค์ใดๆ ไม่มีความเป็นจริงใดๆ ภายนอก คนๆ นั้นได้กลายมาเป็นพระเจ้า และสร้างความเป็นจริงของเขาขึ้นมาเอง

 

ศาสนาพุทธ

ชาวพุทธไม่ได้นมัสการเทพเจ้าหรือพระเจ้าองค์ใดทั้งสิ้น คนที่ไม่ใช่ชาวพุทธมักจะคิดว่า ชาวพุทธนมัสการพระพุทธเจ้า อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้า (หรือเจ้าชายสิทธถะ) ไม่เคยกล่าวอ้างว่าท่านเป็นพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่านในสายตาของชาวพุทธ คือผู้ที่บรรลุผลของสิ่ง ที่ชาวพุทธทุกคนต้องการจะบรรลุ นั่นคือการตรัสรู้ และด้วยสิ่งนี้นั่นเอง เขาก็จะมีอิสระจากวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิด ชาวพุทธส่วนมาก เชื่อว่าพวกเขามีการเกิดใหม่หลายต่อหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ซึ่งก็จำเป็น ต้องเกี่ยวข้องกับการทนทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาวพุทธแสวงหาทาง ที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ ชาวพุทธเชื่อว่าการตกอยู่ในวังวนเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากความอยากมีอยากได้ ความไม่พอใจ และความมัวเมา ลุ่มหลงของคนๆ นั้นเอง ดังนั้นเป้าประสงค์ของชาวพุทธก็คือการทำจิตใจให้บริสุทธิ์และปล่อยวางความต้องการของสิ่งที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และการยึดติดกับตนเอง

ชาวพุทธเชื่อฟังและปฏิบัติตามหลักการต่างๆ ในคำสอนของศาสนา และทำสมาธิภาวนาอย่างเคร่งครัด เมื่อชาวพุทธทำสมาธิภาวนา มันจะไม่เหมือนกับการอธิษฐานหรือการเพ่งความสนใจที่พระหรือเจ้า แต่เป็นเรื่องวินัยทางฝ่ายวิญญาณมากกว่า โดยทางการฝึกฝนทำสมาธินี้คนๆ หนึ่งอาจจะถึงนิพพานได้นั่นคือการ “ขจัดออกไป” ซึ่งไฟแห่งความปรารถนา

ศาสนาพุทธให้แนวทางซึ่งค่อนข้างเป็นความจริงในศาสนาต่างๆ ของโลก คือการมีวินัย มีค่านิยมที่ดีและให้มีทิศทาง ซึ่งคนทั่วไปอาจจะต้องการที่จะดำเนินชีวิตตามแนวทางนั้น

 

ศาสนาอิสลาม

ศาสนาอิสลามเชื่อว่ามีพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียวซึ่งพวกเขา เรียกว่า องค์อัลเลาะห์ ผู้เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ผู้อยู่เหนือกว่ามวล มนุษยชาติ องค์อัลเลาะห์นั้นถูกมองว่าเป็นผู้สร้างจักรวาลทั้งสิ้น และเป็นแหล่งของทั้งความดีและความชั่วร้ายทั้งมวล ทุกสิ่งที่เกิด ขึ้นเป็นเจตจำนงขององค์อัลเลาะห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรง มีฤทธิ์มากและเป็นผู้พิพากษาที่เข้มงวด ผู้ที่จะแสดงความเมตตา ต่อผู้ติดตามของพระองค์ ตามการกระทำความดีอย่างเพียงพอ และการอุทิศตัวให้แก่ศาสนา ความสัมพันธ์ของผู้ติดตามองค์อัลเลาะห์และตัวพระองค์เอง เหมือนกับพวกเขาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์

 

แม้ว่าชาวมุสลิมจะยกย่องผู้พยากรณ์ท่านอื่นๆ แต่ถือว่าท่านมูฮัมหมัดคือผู้พยากรณ์คนสุดท้าย คำสอน และวิถีการดำเนินชีวิตของท่านถือว่ามีสิทธิอำนาจ การเป็นมุสลิม คือคุณต้องถือหน้าที่ทางศาสนา 5 อย่างด้วยกัน

  1. ทบทวนข้อบัญญัติทางศาสนาเกี่ยวกับองค์อัลเลาะห์และท่านมูฮัมหมัด
  2. มีการละหมาดโดยท่องจำคำสวดภาษาอารบิค ห้าครั้งต่อวัน
  3. ให้ทานแก่คนยากจน
  4. หนึ่งเดือนของแต่ละปี (รอมฎอน) ให้มีการงดอาหาร เครื่องดื่ม การมีเพศสัมพันธ์และการสูบบุหรี่ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก
  5. ไปแสวงบุญหนึ่งครั้งในชีวิต เพื่อร่วมนมัสการที่สถานศักดิ์สิทธิ์ในนครเมกกะ ชาวมุสลิม เมื่อตาย ก็หวังที่จะได้ไปอยู่ที่สวรรค์ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้าไม่ได้ไปสวรรค์ เขาก็ต้องได้รับโทษเป็นนิรันดร์ในนรก

สำหรับหลายๆ คน ศาสนาอิสลามทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ดูไปด้วยกันได้ ศาสนาอิสลามสอนว่า มีพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์เดียว ผู้ซึ่งรับการนมัสการโดยการกระทำความดีและวินัยในการทำตามพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนาของพวกผู้ติดตาม หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว คนๆ นั้นจะได้รับรางวัลหรือรับการลงโทษ ขึ้นอยู่กับการอุทิศตัวให้แก่ศาสนาของเขาผู้นั้น

 

คริสต์ศาสนา

          คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก ซึ่งทรงสำแดงพระองค์ เองแก่เราและทรงให้เรารู้จักเป็นการส่วนตัวในชีวิตนี้ได้ คริสเตียน ไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่พิธีกรรมทางศาสนาหรือการกระทำความดี แต่ความสนใจอยู่ที่ การชื่นชมในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเติบโต ในการรู้จักกับพระองค์มากขึ้นโดยทางพระเยซูคริสต์ การมีความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ไม่ใช่แค่ที่คำสอนของพระองค์เท่านั้น เป็นวิธีที่คริสเตียนจะประสบกับความชื่นชมยินดีและชีวิตที่มีความหมาย เมื่อพระเยซูยังทรงดำเนินพระชนม์อยู่บนโลก พระองค์ไม่เคยกล่าวถึงตนเองว่า ทรงเป็นผู้พยากรณ์ที่ชี้ให้คนเห็นพระเจ้า หรือทรงกล่าวว่าตนเอง คือพระอาจารย์ที่สอนหนทางการตรัสรู้ พระองค์ทรงกล่าวอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ ยกโทษความผิดบาปของผู้คน และตรัสว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พระองค์ตรัสประโยคนี้ว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”

ชาวคริสเตียนถือว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์คือข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรของพระเจ้าที่ทรงมีมาถึงมวลมนุษย์ พระคัมภีร์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตและการอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่เปิดเผยให้เราเห็นถึงพระลักษณะของพระเจ้า ความรักและความจริงของพระองค์ และวิธีที่คนหนึ่งคนใดจะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ได้

ไม่ว่าคริสเตียนต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไรในชีวิต พวกเขาสามารถหันเข้าหาพระเจ้าผู้ทรงมีสติปัญญาและฤทธานุภาพ ผู้ซึ่งทรงรักพวกเขาอย่างแท้จริงได้ อย่างมั่นใจเสมอ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานและชีวิตของพวกเขาจะมีความหมาย ถ้าหากเขาดำเนินชีวิตอย่างเป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

 

ศาสนาต่างๆ ของโลกมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างไรบ้าง?

เมื่อมองดูที่ระบบของความเชื่อและความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า ของแต่ละศาสนาและลัทธิความเชื่อหลักๆ ของโลกแล้ว เราพบว่ามีความหลากหลายอยู่มากทีเดียว คือ

– ศาสนาฮินดูรับรู้ว่ามีเทพเจ้าอยู่มากมาย

– ศาสนาพุทธบอกว่าไม่มีพระเจ้า

– ชาวมุสลิมเชื่อในพระเจ้าที่มีฤทธิ์อำนาจและไม่สามารถรู้จักพระเจ้าองค์นี้ได้

– คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก และเป็นผู้ที่เราสามารถเข้าถึงพระองค์ได้

แล้วคนในทุกศาสนาหรือความเชื่อนมัสการพระเจ้าองค์เดียวกันหรือไม่? ให้ลองมาพิจารณากันดู พวกนิวเอจสอนว่าทุกคนควรจะเพ่งความสนใจไปที่ภาวะทางจิตที่เกี่ยวข้องกับจักรวาล แต่คำสอนเช่นนั้นก็จะทำให้ชาวมุสลิมต้องละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวของพวกเขา ชาวฮินดูก็ต้องทิ้งความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าหลายองค์ของพวกเขา และชาวพุทธก็ต้องวางความเชื่อใหม่ที่ว่ามีพระเจ้าอยู่จริง

ศาสนาและลัทธิความเชื่อหลักๆ ของโลก (ฮินดู นิวเอจ พุทธ อิสลามและพวกผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์) แต่ละความเชื่อต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งสิ้น แต่มีอยู่ความเชื่อหนึ่ง ที่ยืนยันว่ามีพระเจ้าผู้ที่ทรงเป็นบุคคล ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก เป็นผู้ซึ่งเรารู้จักได้ในชีวิตนี้ พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึง พระเจ้าผู้ที่ต้อนรับเราเข้าสู่ความ สัมพันธ์กับพระองค์ และจะทรงอยู่เคียงข้างเราในฐานะพระผู้ปลอบประโลม ที่ปรึกษาและผู้ทรงฤทธานุภาพ ผู้ที่ทรงรักเรา

ในศาสนาฮินดู คนเราต้องพยายามด้วยตัวเองที่จะหลุดพ้นจากกรรม ในลัทธินิวเอจ คนเราต้องทำตัวของเราเองให้เป็นพระเจ้า ในพุทธศาสนาก็ต้องเป็นการพยายามของตนเองที่จะเป็นอิสระจากความปรารถนาของตน ในศาสนาอิสลาม คนเราต้องทำตามหลักเกณฑ์ของศาสนา เพื่อจะได้ไปสวรรค์หลังจากความตาย ในการสอนของพระเยซู คุณจะเห็น การมีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับพระเจ้าที่ทรงเป็นบุคคล และความสัมพันธ์นั้นดำเนินจากชีวิตนี้ต่อไปจนถึงชีวิตหน้า

.

.

ติดตาม Life Elevated ได้ที่

Website: www.lifeelevated.club/

Facebook: Life Elevated ชีวิตยกระดับ

Twitter: @lifeelevatedCLB

Instagram: @lifeelevatedclub

Line OA: @Lifeelevatedclub

Blockdit: Lifeelevatedclub

Youtube: Life Elevated Club

Pinterest: @Lifeelevatedclub

Blog สสส.: Life Elevated Club

Related Articles

Leave a Comment