Home Creativity “ภาคธุรกิจ” อยากคิดค้นเชิงนวัตกรรม ควรทำอย่างไร?

“ภาคธุรกิจ” อยากคิดค้นเชิงนวัตกรรม ควรทำอย่างไร?

by Lifeelevated Admin1

การคิดเชิงนวัตกรรมคืออะไร? (Innovative Thinking)

นวัตกรรมเป็นคำพูดที่สวยหรู แต่สำหรับคนและบริษัททั่วไปนั้น การเข้าถึงนวัตกรรมอาจฟังดูเป็นสิ่งที่ทำได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งก็เป็นสิ่งให้เกิดมุมมองแบบใหม่ต่อนวัตกรรม ก็คือการมองความสามารถในการสร้างนวัตกรรมว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่ง หรือก็คือการคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking) นั่นเอง

ในบทความนี้ Life Elevated จะพามาดูกันว่า การคิดเชิงนวัตกรรมคืออะไร มีประโยชน์อะไร และเราสามารถทำอย่างไรได้บ้างเพื่อให้การคิดเชิงนวัตกรรมมีความคาดเดาได้ง่ายมากขึ้น

การคิดเชิงนวัตกรรม คืออะไร (Innovative Thinking)

การคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking) คือกระบวนการคิดในแนวสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรมสิ่งใหม่ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาของผู้ใช้งานได้ เช่น นวัตกรรมทางบริการหรือผลิตภัณฑ์ โดยประโยชน์ของการคิดเชิงนวัตกรรมได้แก่การเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กร และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

ในยุคสมัยนี้ ที่นวัตกรรมและเทคโนโลยีกลายเป็นคำพูดสุดฮิตติดปากผู้บริหารองค์กรใหญ่เกือบทุกคน เราก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘นวัตกรรมนี่ทำง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ’

‘ความคิดสร้างสรรค์’ เป็นทักษะที่ถูกพูดถึงควบคู่กับนวัตกรรมบ่อย ยิ่งเรามีความคิดสร้างสรรค์ ยิ่งเรามีไอเดียเยอะๆ โอกาสที่เราจะ ‘ค้นพบ’ นวัตกรรมใหม่ๆก็คงมีมากขึ้น ซึ่งก็ทำให้เกิดเป็นแนวคิดของ การคิดเชิงนวัตกรรม หรือ Innovative Thinking

โดยที่หลักการง่ายๆ ก็คือ หากเรามองว่า ‘การสร้างนวัตกรรม’ เป็น ‘ ทักษะ’ อย่างนึง หน้าที่ขององค์กรก็คือการหาบุคลากรที่มีทักษะนี้ หรือหาวิธีเพิ่มทักษะเหล่านี้ให้กับพนักงานผ่านการฝึกฝนและอบรมต่างๆ ในส่วนนี้ผมจะไม่ขออธิบายความหมายของนวัตกรรมซ้ำนะครับ หากใครสนใจสามารถอ่านได้ที่ลิงค์นี้ นวัตกรรมคืออะไร

ซึ่งโดยเบื้องต้นแล้ว วิธีก็คือการเพิ่มกระบวนการต่างๆ เพื่อให้จำนวนของไอเดียที่สร้างสรรค์มีมากขึ้น และก็หาขั้นตอนง่ายๆ ที่ทำซ้ำได้เพื่อให้เราสามารถประยุกต์การคิดเชิงนวัตกรรมได้กับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีมากขึ้น

ประโยชน์ของการคิดเชิงนวัตกรรม

โดยเบื้องต้นแล้ว การคิดเชิงนวัตกรรมก็คงมีประโยชน์ที่ตรงไปตรงมาเช่น สร้างนวัตกรรมให้กับองค์กร หรือทำให้องค์กรมีไอเดียใหม่ๆ มากขึ้น อย่างไรก็ตามประโยชน์ส่วนลึกนั้นมีมากกว่านั้น

            ความได้เปรียบทางการแข่งขัน Competitive Advantage : นวัตกรรมแค่ชิ้นเดียวอาจจะทำให้ธุรกิจควรมียอดขายเพิ่มเล็กน้อยในระยะสั้น แต่การที่คุณมีกระบวนการที่สามารถคิดนวัตกรรมใหม่ๆออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ก็หมายความว่าคุณมีความได้เปรียบทางการแข่งขันเหนือคู่แข่ง

            ประสิทธิภาพการทำงาน Productivity : การคิดเชิงนวัตกรรมสามารถทำให้องค์กรทำงานได้เร็วมากขึ้นใน 2 มุมมอง ข้อแรกก็คือการสร้างกระบวนการที่สามารถทำซ้ำได้ หรือก็คือแนวคิดที่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ได้เรื่อยๆ ข้อที่สองก็คือผลประโยชน์จากการสร้างนวัตกรรม ซึ่งมักทำให้กระบวนการหลายๆอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

            กำลังใจของพนักงาน Employee Morale : คำว่านวัตกรรมนั้นสามารถใช้ดึงดูดคนเก่งได้เยอะ ยกตัวอย่างเช่นองค์กรอย่าง Apple หรือ Google ที่มีคนฉลาดๆ หรือพนักงานไฟแรงสมัครเข้ามาทุกปี สาเหตุก็เพราะว่าพนักงานเห็นคุณค่าของการคิดเชิงนวัตกรรม ซึ่งองค์กรที่สามารถสอนแนวคิดนี้ให้กับพนักงานได้ก็จะเป็นองค์กรที่สามารถซื้อใจพนักงานได้

            การผลิตสินค้าใหม่ New Product Development : การผลิตสินค้าใหม่ กระบวนการใหม่ หรือเปิดตลาดใหม่ๆ เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจอยากได้อยู่แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้ก็คือช่องทางการสร้างรายได้เพิ่ม ทำให้องค์กรมีกำไรมากขึ้นและก็มีความเสี่ยงน้อยลงเพราะไม่ต้องพึ่งพาแต่อะไรเดิมๆ แต่ถ้าคุณถามองค์กรทั่วไปว่าทำไมไม่ผลิตสินค้าใหม่เรื่อยๆ คำตอบที่คุณได้ก็คือการผลิตสินค้าใหม่นั้นมีค่าใช้จ่ายเยอะและมีความเสี่ยงสูง

เราจะเห็นได้ว่า ประโยชน์ของการคิดเชิงนวัตกรรมนั้นก็จะอยู่ที่การเพิ่มคุณค่าให้กับกระบวนการ และการเพิ่มแนวคิดที่สามารถคาดเดาได้ (ในเชิงว่าเราจะมีไอเดียใหม่เยอะขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็จะทำให้นวัตกรรมเกิดง่ายขึ้น)

กระบวนการของการคิดเชิงนวัตกรรม

กระบวนการของการคิดเชิงนวัตกรรมถือว่าเป็น ‘ทักษะ’ อย่างหนึ่งที่องค์กรสามารมพัฒนาได้ อย่างไรก็ตามหากคุณเป็นคนที่อยากพัฒนาทักษะ อยากมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นหรือยังมีความคิดเชิงนวัตกรรมมากขึ้น คุณก็สามารถนำกระบวนการเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เหมาะกับบุคคลคนเดียวก็ได้

 

1.สอบถามความเห็นของลูกค้า

กระบวนการทุกอย่างในธุรกิจต้องมีเป้าหมายเสมอ ซึ่งเป้าหมายส่วนมากก็คือการเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า หมายความว่าเราก็ต้องมีการขอความคิดเห็นจากลูกค้าซักทาง

คุณอาจจะทำแบบสอบถาม สัมภาษณ์ลูกค้า หรือจะแอบฟังสิ่งที่ลูกค้าพูดบนโซเชียลก็ได้ (โดยเฉพาะรีวิวออนไลน์) เพราะปัญหาของลูกค้าคือจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมใหม่

 2.ระดมสมองคนในองค์กร

หากขั้นตอนที่แล้วเป็นวิธีตั้งโจทย์ของนวัตกรรม ขั้นตอนนี้ก็คือวิธีระดมสมอง รวบรวมไอเดียให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเจอไอเดียที่จะสามารถนำไปใช้ได้จริง

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่านวัตกรรมเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก แล้วเราก็คงไม่สามารถฟันธงได้ว่าไอเดียหรือความคิดต่อไปจะสามารถถูกนำมาสร้างให้เป็นนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงองค์กร แต่หากเรามีกระบวนการที่สามารถสร้างไอเดียใหม่ๆได้เรื่อยๆ โอกาสที่เราจะเจอนวัตกรรมก็มีมากขึ้น

การระดมสมองหมายถึงการให้พนักงานสามารถแบ่งปันไอเดียกับคนในบริษัทได้ ยิ่งเราจัดกิจกรรม (หรือบางบริษัทเรียกว่าการประชุม) แบบนี้มากเท่าไรจำนวนไอเดียของเราก็จะมีมากขึ้น ส่วนมากแล้ว เราควรให้พนักงานใช้เวลา 20-30 นาทีต่อหนึ่งครั้ง เพื่อคิดไอเดียใหม่ๆเอามาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนั้นแล้วอย่าลืมจัดเก็บไอเดียต่างๆ เช่นการใช้มือถือถ่ายรูปแล้วนำไปเซฟในคอมพิวเตอร์

 3.กรองความคิดที่น่าเป็นไปได้

หลังจากที่เราได้ไอเดียมาจากข้อที่แล้ว เราก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าไม่ใช่ทุกไอเดียที่จะดีหรือสามารถนำไปใช้ได้จริง หมายความว่าเราก็ควรต้องมีกระบวนการบางอย่างเพื่อใช้คัดกรองไอเดียต่างๆ

ขั้นตอนในส่วนนี้เป็นเรื่องของประโยชน์ ทรัพยากร และความเป็นไปได้ ให้ลองให้คะแนนทุกไอเดียในข้อที่แล้วผ่านคำถาม 4 ข้อนี้ว่า ‘ทำแล้วลูกค้าได้ประโยชน์หรือเปล่า’ ‘ทำแล้วองค์กรได้ประโยชน์หรือเปล่า’ ‘ทำได้จริงหรือเปล่า’ และ ‘เรามีทรัพยากรเพียงพอหรือเปล่า’

หากเราพิจารณาผ่านคำถามมีแล้วยังมีหลายไอเดียอยู่ คุณก็อาจจะลองพิจารณาเพิ่มว่าไอเดียไหนทำได้ง่ายสุด หรือไอเดียไหนทำแล้วน่าจะดีที่สุด อีกที

 

4.ทดสองและปรับปรุง

เนื่องจากว่าบทความเรื่องของแนวคิดที่ใช้สร้างนวัตกรรม เราจึงไม่สามารถหยุดที่ขั้นตอนการสร้างและคัดกรองไอเดียได้ ขั้นตอนที่เราต้องให้ความสนใจไม่แพ้กันเลยก็คือการทดสอบและปรับปรุงไอเดียเพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม

ให้นำไอเดียมาพัฒนาเพิ่มแล้วค่อยนำไปทดสอบกับลูกค้าหรือผู้ใช้งาน โดยที่คุณอาจจะต้องนำไอเดียกลับมาปรับปรุง 2-3 ครั้งก่อนที่จะสามารถนำไปใช้งานได้จริง สิ่งที่ต้องเน้นย้ำเลยก็คือทุกขั้นตอนและทุกกระบวนการต้องมีผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน

หลังจากที่คุณทดสอบแล้วปรับปรุงไอเดียมาระดับหนึ่งแล้ว (อาจใช้เวลาเป็นปีหรือหลายปี ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของไอเดีย) คุณค่อยย้ายไอเดียนี้ไปเข้าสู่ ‘กระบวนการธุรกิจจริงๆ’ เช่นการวิเคราะห์การตลาด การขาย หรือการปฏิบัติการ ในส่วนนี้ก็ให้มองว่าเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริษัทใหม่ที่คุณอยากจะลงทุนเพิ่มไปเลยหรือเราอาจจะตัดสินใจว่าไอเดียนี้ไม่คุ้มค่าในการทำแล้วเริ่มใหม่อีกรอบก็ได้

 5.ทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง

หากคุณอยากจะเปลี่ยนจากการคิดเชิงนวัตกรรมแค่ครั้งสองครั้งไปเป็นกระบวนการที่สามารถทำซ้ำได้จริงอย่างต่อเนื่อง อีกอย่างน้อยที่สุดเลยก็คือคุณต้องมีขั้นตอนที่สามารถทำได้อย่างชัดเจน…ซึ่งก็คือขั้นตอนที่ 1-4 ในบทความนี้

แต่ในส่วนขั้นตอนที่ 5 คุณก็ต้องพิจารณาว่าคุณจะวนกลับมาเริ่มขั้นตอนที่ 1 (วิเคราะห์ปัญหาของลูกค้า) ใหม่บ่อยแค่ไหน บางองค์กรที่มีทรัพยากรเยอะก็อาจจะทำแบบสอบถามปีละหลายรอบ แล้วค่อยสรุปปัญหาของลูกค้าทุกครึ่งปี แต่หากคุณเป็นองค์กรขนาดเล็ก คุณอาจจะเริ่มแค่ทำปีละครั้งก่อนก็ได้ เพราะจุดสำคัญก็คือคุณต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกปี

.

.

ติดตาม Life Elevated ได้ที่

Website: www.lifeelevated.club/

Facebook: Life Elevated ชีวิตยกระดับ

Twitter: @lifeelevatedCLB

Instagram: @lifeelevatedclub

Line OA: @Lifeelevatedclub

Blockdit: Lifeelevatedclub

Youtube: Life Elevated Club

Pinterest: @Lifeelevatedclub

Blog สสส.: Life Elevated Club

 

Related Articles

Leave a Comment