Home Society 6 เมกะเทรนด์ปฏิวัติการชำระเงินโลก ตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคต

6 เมกะเทรนด์ปฏิวัติการชำระเงินโลก ตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคต

by Lifeelevated Admin2

คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าโรคระบาดโควิด 19 เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ประกอบการทั่วโลก ซึ่งรวมถึงเรื่องการเงินและวิธีการชำระเงินที่ต้องใส่ใจในเรื่องความสะดวกสบายและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ใช้บริการทั่วโลกต่างหันมาใช้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) แทบจะเต็มรูปแบบ จนปริมาณธุรกรรมเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้หลายประเทศก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) หรือใช้ Less Cash กันมากขึ้น ขณะเดียวกันการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลทำให้คนทั่วโลกและผู้ทำธุรกิจสามารถเข้าถึงการค้าออนไลน์ได้ง่ายขึ้นด้วย

เมกะเทรนด์การชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญที่มีผลในวงกว้างต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของผู้คนทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจโลก โครงสร้างประชากร การพัฒนาสังคมเมือง และความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

รายงานจาก Payment 2025 & Beyond ของ PwC ได้คาดการณ์ 6 เมกะเทรนด์ที่จะเข้ามาเปลี่ยนระบบการชำระเงินโลกในอีก 5 ปีข้างหน้าไว้อย่างน่าสนใจ ดังต่อไปนี้

 

  1. การเข้าถึงบริการทางการเงินและความไว้วางใจ

การมีกลยุทธ์และสร้างโอกาสในการเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมระบบการชำระเงินให้ไปไกลกว่าเดิม เพราะปัจจุบันคนจำนวนมากสามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟน ทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือมีฐานะยากจน สามารถมีโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินได้ โดยภายในปี 2566 การเข้าถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกจะมากถึง 80% นำโดยตลาดเกิดใหม่อย่างประเทศอินโดนีเซีย ปากีสถาน และเม็กซิโก

นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังคงต้องมีบทบาทในการกำกับดูแลความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และสร้างเสถียรภาพของระบบการชำระเงินเพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการโดยรวม

 

  1. สกุลเงินดิจิทัลจะเป็นที่ยอมรับมากขึ้น

กระแสของสกุลเงินดิจิทัลทั้งที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currencies: CBDCs) และคริปโตเคอร์เรนซีของภาคเอกชนจะยิ่งเข้ามามีบทบาทต่อระบบสถาบันการเงินและการชำระเงินในระยะข้างหน้า โดยรายงาน PwC Global CBDC Index 2021 ระบุว่า 60% ของธนาคารกลางทั่วโลกในปัจจุบันกำลังศึกษาการพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลทั้งในรูปแบบการใช้งานธุรกรรมระหว่างธนาคาร (Wholesale CBDCs) และการใช้งานสำหรับธุรกรรมรายย่อยของภาคธุรกิจและประชาชน (Retail CBDCs) หรือโครงการสกุลเงินดิเอม (หรือเดิมเรียกว่า ลิบรา) ของ Facebook ที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงอยู่ในขณะนี้

 

  1. จับตากระเป๋าเงินดิจิทัล

รายงานของกลุ่มเทคโนโลยีบริการทางการเงิน FIS ระบุว่า ธุรกรรมผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลทั่วโลกนั้นเติบโตถึง 7% ในปีที่ผ่านมา และคาดภายในปี 2567 การชำระค่าสินค้าและบริการผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลจะคิดเป็นมากกว่าครึ่งของการชำระเงินแบบ E-Payment ทั่วโลก ตามการใช้งานของผู้บริโภคที่จะยิ่งหันมาใช้ QR Code แทนการใช้เงินสดหรือบัตรในการชำระค่าสินค้าและบริการ และเพื่อตอบรับเทรนด์ดังกล่าว

ธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตจะต้องร่วมมือกันเพื่อลงทุนในธุรกิจกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มในการชำระเงินที่อาจเข้ามาแทนที่รูปแบบการชำระเงินแบบเดิมด้วย

การลงทุนในเทคโนโลยีบนมือถือจะขยายรูปแบบจากการชำระเงินรายย่อยไปสู่การชำระเงินแบบธุรกิจสู่ธุรกิจมากขึ้น และซัพพลายเชนดิจิทัลจะเริ่มประยุกต์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลในระยะถัดไป

 

  1. สนามรบการชำระเงินที่เปลี่ยนไป

ผู้บริโภคเปลี่ยนรูปแบบการชำระเงินจากการใช้บัตรและบัญชีมาเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยOpen Banking  หรือการที่ผู้ให้บริการทางการเงินเปิดเผยข้อมูลการเงินของลูกค้าของตนให้กับบุคคลที่สาม (Third-party providers: TPPs) ซึ่งต้องผ่านการยินยอมจากลูกค้าผู้เป็นเจ้าของบัญชีก่อน

ในขณะเดียวกันต้องทำการจัดจ้างระบบคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานด้านแพลตฟอร์มจากภายนอกเข้ามาช่วยหนุนโครงสร้างพื้นฐานของการชำระเงินภายในองค์กร เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าในการนำเสนอสินค้าและบริการที่แตกต่าง อีกทั้งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ปรับสู่ดิจิทัลมากขึ้น

 

  1. ก้าวสู่การชำระเงินข้ามพรมแดน

รูปแบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์และมีต้นทุนต่ำจะช่วยผลักดันให้นวัตกรรมการชำระเงินระหว่างประเทศมีการพัฒนาขึ้น โดยล่าสุด ประเทศสิงคโปร์ได้จับมือกับประเทศไทยเพื่อทำเชื่อมโยงระบบการชำระเงินของประเทศร่วมกัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถโอนเงินระหว่างประเทศได้แบบเรียลไทม์ผ่านการใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือ ซึ่งในระยะต่อไปคงจะได้เห็นการผลักดันนวัตกรรมการชำระเงินระหว่างประเทศและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยยกระดับการบูรณาการทางการเงินขึ้นไปอีกขั้น

 

  1. ความเสี่ยงของการเกิดอาชญากรรมทางไซเบอร์

จากการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้ปรับตัวสูงขึ้น เมื่อผู้บริโภคและธุรกิจหันมาใช้ระบบ Open Banking และการชำระเงินทางเลือกมากขึ้น แนวโน้มการเกิดอาชญากรรมทางไซเบอร์ก็จะเพิ่มมากขึ้น โดยผลสำรวจของเราพบว่า ความปลอดภัย การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเป็นความกังวลเป็นอันดับต้นๆ ที่สถาบันการเงิน ฟินเทค และธุรกิจด้านสินทรัพย์ทั่วโลกคำนึงถึงเมื่อต้องกำหนดกลยุทธ์ทางเทคโนโลยี

ดังนั้นธนาคารผู้ให้บริการระบบการชำระเงินและหน่วยงานกำกับดูแล จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันการฉ้อโกงและการฟอกเงิน โดยจะต้องเข้าใจความเสี่ยงและกำหนดมาตรการในการรักษาความปลอดภัยของระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความรัดกุม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะได้รับประโยชน์ ซึ่งนี่ถือเป็นความท้าทายของทุกฝ่ายในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า

เมกะเทรนด์ทั้งหมดนี้ถือเป็นความท้าทายใหม่ๆ ที่จะทำให้ผู้ประกอบการทุกคนเห็นโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค พร้อมเตรียมกลยุทธ์บริการทางการเงินใหม่ๆ ที่จะต้องตามให้ทันการเปลี่ยนแปลง

 

 

ติดตาม Life Elevated ได้ที่

Website: www.lifeelevated.club/

Facebook: Life Elevated ชีวิตยกระดับ

Twitter: @_lifeelevated_

Instagram: @lifeelevatedclub

Line OA: @Lifeelevated

Blockdit: Life Elevated

Related Articles

Leave a Comment