Home Technology เพราะอะไร? ใครหลายคนจึงชอบใช้ “Dark Mode”

เพราะอะไร? ใครหลายคนจึงชอบใช้ “Dark Mode”

by Lifeelevated Admin1

เมื่อไม่นานมานี้ เราอาจจะเห็นกระแสบางอย่างเกี่ยวกับ Dark Mode ผ่านตากันมาบ้าง อย่างเช่นการเรียกร้องให้แอปพลิเคชัน Instagram อัปเดตฟีเจอร์ Dark Mode ให้กับสมาร์ทโฟนระบบ Android ด้วย หลังจากที่สมาร์ทโฟนระบบ IOS นั้น Instagram ได้อัปเดตเวอร์ชันใหม่ที่เพิ่มฟีเจอร์ Dark Mode มาเรียบร้อยแล้ว

Dark Mode นั้นเป็นโหมดการปรับพื้นหลังหน้าจอเป็นสีดำ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ ทยอยเพิ่ม Dark Mode เข้ามาใช้ในเว็บและแอปฯ ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟรระบบ Android ได้ใช้ Instagram เวอร์ชัน Dark Mode สมใจอยากแล้วก็เงียบหายไป จนกระทั่งกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ คือตอนที่ “โจ ไบเดน” เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการอย่างเป็นทางการ เขาได้เพิ่มฟีเจอร์ Dark Mode เข้าไปบนเว็บไซต์ของทำเนียบขาว whitehouse.gov ซึ่งถือเป็นงานชิ้นแรกๆ ที่ “โจ ไบเดน” ทำในฐานะประธานาธิบดีเลยก็ว่าได้

ซึ่งแน่นอนว่าการที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ พยายามเพิ่มฟีเจอร์ Dark Mode ขึ้นมา ก็เพราะว่ามีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน คริส ฮอฟฟ์แมน (Chris Hoffman) บรรณาธิการบริหารของเว็บไซต์ How-To Geek รวบรวมข้อดีของการมีฟีเจอร์ Dark Mode ใช้บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันไว้ 3 ประการ คือ

  • ใช้งานได้ยอดเยี่ยมในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย
  • ดีต่อสายมากกว่าสำหรับบางคน
  • ช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรีบนหน้าจอแสดงผลแบบ OLED

ไม่เพียงแต่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ เท่านั้นที่มี Dark Mode มาให้ใช้งาน เพราะโปรแกรมสำเร็จรูปของไมโครซอฟต์ออฟฟิศ (Microsoft Office) อย่างไมโครซอฟต์ เวิร์ด (Microsoft Word) ก็มี Dark Mode หรือหน้าจอสีดำเข้ามาให้ใช้เหมือนกัน ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดตา แสบตาลงได้ เมื่อต้องใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

ในสภาพที่แสงน้อย อย่างเช่นเวลากลางคืน การอ่านตัวหนังสือสีขาวบนพื้นสีดำนั้นจะอ่านได้ง่ายกว่าตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาว เนื่องจากจอสีดำจะลดแสงสว่างที่จะจ้ามากเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย แสงจะกระทบต่อดวงตาของตัวผู้ใช้งานน้อยลงและแยงตาคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างน้อยลงด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น การใช้ Dark Mode มีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีภาวะ Photophobia หรือผู้ที่มีภาวะไวต่อแสงสว่างจ้า เนื่องจากแสงสว่างจ้านั้น ทำให้ผู้ที่เป็น Photophobia เกิดอาการตากลัวแสง สู้แสงสว่างมากๆ ไม่ค่อยได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเจอแสงสว่างมากๆ ดวงตาจะทนไม่ได้ มีอาการเคืองตา เจ็บตา แสบ หรือมีน้ำตาไหล ต้องปิดตา หลับตา หรือหยีตา และอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรนด้วย

สำหรับผู้ที่ใช้จอ OLED (Organic light-emitting diode) การเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ ยังช่วยประหยัดแบตเตอรีได้ด้วย กูเกิลเคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ Dark Mode ในยูทูบ ว่าสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรีได้มากถึง 15-60 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ถึงกระนั้น อะไรที่มีข้อดี มันย่อมมีข้อด้อย อดัม เองสต์ (Adam Engst) นักเขียนสายเทคโนโลยีประจำเว็บไซต์ TidBITS กล่าวว่าว่า Dark Mode อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป ซึ่งเขาได้อ้างงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่บอกว่าการอ่านตัวหนังสือสีขาวบนพื้นสีดำนานๆ จะทำให้เกิดอาการตาล้า เพราะสีรอบข้างตัวหนังสือมืด ทำให้เราต้องใช้สายตาในการเพ่งและโฟกัสตัวหนังสือมากกว่าเดิม

แรกเริ่มเดิมทีนั้น Dark Mode นั้นได้ถูกออกแบบมาสำหรับใช้งานตอนกลางคืนหรือในที่มืด เพื่อช่วยถนอมสายตา และช่วยลดอาการนอนหลับยากจากแสงสีฟ้าบนหน้าจอมือถือ รวมทั้งยังนิยมใช้กันในแอปฯ สำหรับดูเนื้อหาที่เป็นรูปภาพและวิดีโอต่างๆ เพราะจะทำให้ภาพดูโดดเด่นมากกว่าอินเทอร์เฟซที่เป็นพื้นหลังสีขาว และเมื่อระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง iOS และ Android เริ่มทำฟีเจอร์ Dark Mode ออกมาให้ใช้ หลายคนก็ค่อนข้างชอบ และบางคนก็ถึงกับเปิดใช้ Dark Mode ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนเลย เพราะเข้าใจว่าช่วยถนอมสายตาได้มากกว่า ซึ่งความเข้าใจนั้นไม่ถือว่าถูกซะทีเดียว

การใช้ Dark Mode ที่เหมาะสมและได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือการเปิดใช้ Dark Mode เฉพาะในช่วงเวลากลางคืน หรือถ้าชอบและอยากเปิดใช้ตอนกลางวันด้วยก็ได้เช่นกัน แต่อย่างน้อยเวลาที่ต้องอ่านตัวหนังสือจำนวนมากๆ ก็ควรปิด Dark Mode แล้วอ่านแบบพื้นหลังสีขาวน่าจะดีกว่า และสำหรับใครไม่ชอบปรับเปิด-ปิด Dark Mode บ่อยๆ ก็อาจใช้ฟีเจอร์ตั้งเวลาเปิด Dark Mode ตอนกลางคืนแบบอัตโนมัติได้เช่นกัน

Related Articles

Leave a Comment